13 มี.ค. 2554

Plasma-TV สิ่งดีๆที่คุณเลือกได้

 
 ในท่ามกลางกระแสความแรงของ LCD-TV ในขณะนี้ทำให้ Plasma-TV ดูหมองไปถนัดตา ทั้งที่โดยความเป็นจริงแล้ว Plasma-TV ก็ยังมีข้อดีที่น่าใช้อยู่หลายจุด

  Plasma-TV ถูกคิดค้นและพัฒนาขึ้นในราวปี 1964 ในตอนนั้นยังเป็นจอแบบ monochrome อยู่ คือมีเพียงสีเดียวเป็นสีออกส้มๆ ต่อมาจึงได้มีการพัฒนาเพิ่มเติมให้สามารถแสดงสีที่เป็นแม่สีของแสง อันได้แก่สี แดง เขียว และน้ำเงิน จนครบทั้ง 3สี
  เพราะใช้หลักการของ plasma gas-discharge ให้กำเนิดแสงที่หน้าจอโดยตรง ทำให้จอของPlasma-TV สามารถให้ภาพที่ มีความสว่างและคอนทราสสูง มุมมองกว้าง และมีrespond time ที่ดี(0.001ms:หนึ่งในล้านของวินาที)


  การทำงานของจอ Plasma-TV

  หากใช้แว่นขยายส่องดูที่จอของPlasma-TV จะเห็นเม็ดสีเล็กๆเรียงอัดกันแน่นเต็มไปหมด(จอ LCD-TV ก็เป็นแบบนี้) เม็ดสีเหล่านี้เรียกว่า sub pixel มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3สี แดง เขียว น้ำเงิน รวมกันเรียกเป็น 1 จุดภาพ(pixel) แต่ละ sub pixel มีลักษณะเป็นช่องเล็กๆ ถูกฉาบไว้ด้วยสารเรืองแสง(phosphor)ช่องละสี ภายในช่องหรือห้องเล็กๆเหล่านี้ยังบรรจุก๊าซชึ่งจะปล่อยรังสี UVออกมาเมื่อถูกกระตุ้นด้วยสนามไฟฟ้า รังสี UVเมื่อกระทบถูกสารเรืองแสง(phosphor) ก็จะทำให้ เกิดการเรืองแสงเป็นแสงสีที่ตาเราสามารถมองเห็นได้ออกมาอีกทีนึง แล้วแต่ว่าสารเรืองแสงในจุดนั้นๆให้สีอะไร 

  จากการที่ต้องสร้างให้มีลักษณะเช่นนี้เอง ทำให้ Plasma-TVไม่สามารถสร้างจอให้มีขนาดเล็กมากได้ หรือถ้าจะทำก็ต้องใช้วิธีลดจำนวน pixel ลง ซึ่งก็จะทำให้ได้จอที่มีความละเอียดต่ำ
   
  
  ถึงแม้จะข้อดีมากมาย แต่ก็ยังมีข้อเสียบางอย่างที่ทำให้หลายๆคนไม่กล้าตัดสินใจซื้อ Plasma-TV ใช้ ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นการได้ยินกิติศัพย์ที่ไม่ดีมามากกว่าที่จะเป็นประสพการณ์ตรง เช่น

   .Image Retention(IR:การจำภาพ)กับ Burn-In(จอไหม้)
   

  มีสาเหตุการเกิดและอาการเหมือนกัน คือ เกิดจากการเปิดภาพซ้ำเดิมหรือภาพนิ่งทิ้งไว้เป็นเวลานาน ทำให้ภาพค้างอยู่บนหน้าจอ ต่างกันก็คือIRนั้นสามารถจางหายไปได้เอง แต่ Burn-Inจะหายได้ยากกว่าหรืออาจเป็นถาวรเลยก็ได้
  การจำภาพหรือIRก็เหมือนกับภาพติดตานั่นเอง กล่าวคือ เมื่อปิดเครื่องหรือเปลี่ยนภาพใหม่สักระยะนึง ก็จะจางหายไปเอง ส่วนอาการจอไหม้หรือ Burn-In เกิดจากสารเรืองแสง(phosphor)ในจอเสื่อมสภาพไม่เท่ากัน โดยบริเวณที่ถูกใช้งานมากก็จะมีความเสื่อมสภาพมากกว่า ให้ความสว่างลดน้อยลง ส่วนบริเวณที่ใช้งานน้อยหรือไม่ได้ใช้งานเลย ก็จะยังคงให้ความสว่างได้มากกว่า

  ปัจจัยที่ทำให้เกิดการBurn ได้แก่
 .ลักษณะของภาพที่ถูกเปิดแช่ไว้ ภาพที่มีคอนทราสสูงจะทำให้เกิดการBurn-Inได้ง่ายกว่า
 .การตั้งค่าความสว่าง(brightness)และคอนทราส ถ้าตั้งเอาไว้สูงมากหรือสูงสุด ก็จะยิ่งช่วยเร่งการเผาไหม้phosphorให้เสื่อมสภาพเร็วขึ้นไปอีก
 .ระยะเวลาที่ภาพถูกเปิด ยิ่งนานยิ่งหนัก ส่วนที่ว่านานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับสองปัจจัยแรกด้วย ถ้าเปิดภาพที่มีคอนทราสสูงแล้วยังตั้งความสว่างและคอนทราสไว้สูงสุดอีกละก็ คุณก็จะได้เห็นผลงานของคุณภายในไม่เกิน1วัน แต่จอพลาสม่าจากภาพตัวอย่างนั้นถูกเปิดใช้งานในลักษณะนี้อยู่ ทั้งวัน ทุกวัน เป็นเวลานานนับเดือนนับปีถึงเกิดอาการนี้ขึ้น

  ปัจจุบันPlasma-TVรุ่นใหม่ๆต่างก็ได้รับการติดตั้งfunctionป้องกันการBurn-Inกันหมดแล้ว ถึงแม้จะไม่สามาป้องกันได้100%แต่ก็ช่วยให้ไม่Burnกันง่ายจนเกินไปนัก

   .Screen Reflection(เงาสะท้อนหน้าจอ)


 จากการที่Plasma-TVมีหน้าจอเป็นกระจก จึงทำให้เกิดปัญหานี้ขึ้นมา
  หากจะถามว่าเงาสะท้อนหน้าจอมีผลต่อการรับชมแค่ไหน ตอบได้ว่ามากทีเดียวครับ(นอกจากว่าคุณจะไม่ได้สังเกตุหรือไม่สนใจเหมือนกับผม) โดยเฉพาะฉากมืดๆด้วยแล้วจะยิ่งทำให้เสียความรู้สึกในการรับชมไปพอสมควรเลยทีเดียว
  เพื่อให้ปัญหาข้อนี้ลดลง มีคำแนะนำในการรับชมPlasma-TVดังนี้ 
 .เพิ่มระยะห่างในการรับชม เมื่อระยะห่างเพิ่มมากขึ้นเงาภาพปรากฏจะมีขนาดและความสว่างลดลง
 .หากเป็นไปได้ให้ลดแสงสว่างภายในห้องลง แต่เพื่อถนอมสายตาก็ไม่ควรให้ห้องมืดจนเกินไป
 .เนื่องจากPlasma-TVนั้นเหมาะที่จะใช้ในห้องที่มีแสงสว่างปานกลาง จึงควรตกแต่งหรือเลือกห้องให้เหมาะกับการใช้งาน 

  สำหรับปัญหาข้อนี้บรรดาผู้ผลิตPlasma-TVต่างก็ได้พยายามหาทางแก้ไขเพื่อให้ได้การรับชมภาพที่ดีขึ้น อย่างเช่น การเครือบสารลดแสงสะท้อนที่หน้าจอ การใช้ filter ในแบบต่างๆ

   .Power Consumption(อัตราการใช้ไฟ)และความร้อน
  เป็นความจริงที่ว่า Plasma-TV ใช้ไฟมากกว่าและร้อนกว่า LCD-TV แต่ก็มากกว่ากันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าจะเปรียบเทียบกันจริงๆ ก็คงต้องดูในตอนใช้งาน
  ลองนึกภาพว่าจอของ Plasma-TV นั้นเสมือนประกอบขึ้นจากหลอดไฟนับล้านดวง และแต่ละดวงก็จะเปิด-ปิด(หรือแค่หรี่แสงลง)สลับกันไป ตามแต่ว่าหลอดไฟดวงนั้นอยู่ในตำแหน่งไหนของภาพบนจอ ถ้าหากเป็นภาพที่มืดมากๆ จอ Plasma ก็แทบจะไม่กินไฟเลย ซึ่งนั่นก็หมายความว่าหากคุณลดความสว่างลงครึ่งนึง Plasma-TV ก็จะใช้ไฟแค่เพียงประมาณครึ่งนึงนั่นเอง
  แต่ด้วยวิธีที่แตกต่างออกไป LCD-TV นั้นใช้ม่านคริสตัลเหลวในการ บัง-ไม่บัง แสงจากหลอดแบ็คไลท์ซึ่งจะต้องเปิดทิ้งไว้ตลอดเวลาทำให้ LCD-TV ใช้ไฟคงที่ ประมาณว่าใกล้เคียงหรือเท่ากับที่ระบุไว้ในสเป็ค(ยกเว้นพวกที่ใช้เทคนิค dynamic contrast ratio ที่จะใช้ไฟลดลงตามช่วง dynamic)ในขณะที่ Plasma-TV มีค่าโดยเฉลี่ยน้อยกว่าในสเป็คพอสมควร
  และถ้าคุณเป็นห่วงเรื่องความร้อนว่าจะทำให้เปลืองแอร์ในกรณีที่เปิดในห้องแอร์ ก็ไม่ต้องห่วงหรอกครับ เพราะปริมาณความร้อนที่Plasma-TVขนาดจอ 50"เครื่องนึงปล่อยออกมานั้น ยังน้อยกว่าคน 1 คนเสียอีก
  แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้ในเรื่องของความประหยัดไฟ คงต้องยกให้ LED-TV

  .ขนาดหน้าจอและน้ำหนัก
  
  เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าPlasma-TVไม่มีหน้าจอขนาดเล็ก(มีแต่ขนาด42นิ้วขึ้นไป)และมีน้ำหนักค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับ LCD-TV สาเหตุเพราะข้อจำกัดทางโครงสร้างที่ต้องมีลักษณะเป็นห้อง เพื่อกักเก็บก๊าซซึ่งจะมีแรงดันเพิ่มขึ้นจากความร้อนในขณะใช้งาน ทำให้จำเป็นต้องใช้แก้วที่หนาพอไม่เช่นนั้นจออาจแตกร้าวเสียหายได้
  ในเรื่องของน้ำหนักที่ค่อนข้างมากนั้น หากคุณคิดว่าเป็นปัญหาก็คงต้องถามว่า แล้วคุณจัดการอย่างไรกับจอที่มีน้ำหนักเบาแต่ขาดความมั่นคง อีกอย่าง คุณคงไม่ได้เครื่อนย้ายTV ของคุณบ่อยเสียจนต้องให้ความสำคัญกับเรื่องของน้ำหนักมากถึงขนาดนั้น นอกจากว่าคุณคิดจะติดตั้งTV ของคุณเขัากับผนังห้องซึ่งหากใช้เป็น LCD-TV หรือโปรเจ็คเตอร์ ดูจะเหมาะสมกว่า

  ผมไม่ได้คิดจะบอกว่าPlasma-TVนั้นดีกว่าหรือดีที่สุด แค่อยากจะบอกว่า มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร จุดดีๆที่น่าใช้ของPlasma-TVก็ยังพอมีอยู่บ้าง(หากไม่ดีจริงป่านนี้ก็คงสูญพันธ์ไปนานแล้ว) ดังนั้น หากคุณคิดจะซื้อTVในคราวต่อไป ก็อย่าเพิ่งด่วนตัดตัวเลือกPlasma-TVทิ้งไปซะก่อนล่ะ

  โดยรวมแล้วPlasma-TVนั้นเหมาะที่จะใช้กับสื่อประเภทอนาล็อกอันได้แก่ฟรีทีวีหรือ DVD มากกว่าที่จะใช้กับ BU-Ray หรือหนัง HD แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าใช้ไม่ได้ เพียงแต่ความคมชัดอาจจะสู้ LCD-TV ไม่ได้แค่นั้นเอง

  มีคำแนะนำสำหรับการใช้งานPlasma-TVดังนี้
 .ไม่ควรงานใช้ในห้องขนาดเล็ก เพราะอาจมีปัญหากับ เงาสะท้อนหน้าจอ ความร้อน และ ขนาดของหน้าจอที่ใหญ่โตเกินไป
 .ให้ใช้กับห้องขนาดปานกลางหรือขนาดใหญ่ที่มีแสงไม่สว่างมากนัก
 .ส่วนคำแนะนำอื่นๆให้อ่านจากคู่มือใช้งาน(แนะนำ)



    ภาพประกอบจาก
  www.howstuffworks.com
  www.littlespringsdesign.com
  eirikso.com
  plasmatvbuyingguide.com 
  

1 มี.ค. 2554

การเลือกซื้อ LCD TV

LCD TV




การเลือกซื้อ LCD TV
     ในการเลือกซื้อ LCD TV นั้นจะมีจุดคล้ายกับการเลือกซื้อจอ Plasma TV แต่ก็ยังคงมีรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างกันพอสมควร ดังนั้นควร
พิจารณาให้ละเอียด เนื่องจากแต่ละยี่ห้อจะมีความแตกต่างกันในรายละเอียดแม้ว่าจะมีเทคโนโลยีการผลิตที่เหมือนกัน






LCD TV
ขนาดของจอภาพ
     ขนาดของจอภาพเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งในการเลือกซื้อเพราะ ควรจะสัมพันธ์กับระยะที่คุณคิดจะนำไปติดตั้งและนั่งดู (หรือกระทั่งนอนดูอยู่ในห้องนอนก็แล้วแต่) เนื่องจากหากคุณใช้หน้าจอที่ใหญ่เกินไป นอกจากจะทำให้แสงจ้ามาก และการชมรายละเอียด ของภาพยนตร์จะดูลายตาไปหมดแล้ว ยิ่งในกรณีที่คุณใช้จอที่ใหญ่ ที่ความละเอียดในการแสดงผลต่ำ และยิ่งถ้าใช้ภาพยนตร์ DVD ที่ไม่ชัดแล้วละก็ภาพที่ได้เมื่อคุณใช้จอที่ใหญ่ไปมันจะไม่ชัด ทำให้เสียอารมณ์ในการชมเปล่าๆครับ





LCD TV

     นอกจากขนาดแล้วถ้าคุณจะซื้อ LCD TV ในจอขนาดเล็กๆ และนำไปใช้ทำงานกับคอมพิวเตอร์ก็ควรพิจารณาด้วยว่าดูถึงว่าจะเป็นจอสัดส่วน ใดระหว่าง
4:3 หรือ 16:9 (Widescreen) แต่ผลแนะนำว่าควรเป็นจอ Widescreen จะดีกว่า เพราะนอกจากจะชมภาพยนตร์ DVD ได้อย่างมีอรรถรสเต็มตาแล้ว ระบบปฏิบัติการ Windows Vista ตัวใหม่ก็ยังรองรับจอ Widescreen ด้วย
    
อัตรา Contrast,Brightness Ratio และ Response Time

     เนื่องจาก LCD TV นั้นเป็นจอที่ให้แสงน้อยกว่า Plasma TV ดังนั้นในจอ LCD TV แต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่นก็จะมีค่า Contrast ratio และ Brightness ratio ที่แตกต่างกันไป และผู้ผลิตแต่ละยี่ห้อดูได้ โดยคุณสามารถดูได้จากสเป็กซ์ของจอ LCD TV แต่ละรุ่น นอกจากดูที่สเป็กซ์ก็อย่างไปเชื่อซะทีเดียวผมแนะนำให้คุณลองไปดูด้วยตาจริงๆ ดีกว่า เพราะหลายยี่ห้อก็จะมีการวางสเป็กซ์ไว้เกินความจริงพอสมควร จึงควรทดลองปรับค่าทั้งสองให้อยู่ในระดับกลาง และความคมชัดดีที่สุด มุมมองภาพก็ควรจะมากด้วย โดยเฉพาะจอใหญ่ๆ เพราะจะทำให้คุณสามารถยืนดูภาพที่จุดไหนก็ได้โดยที่สี และภาพไม่เพี้ยน รวมถึงค่า Response Time ที่ควรเลือกต่ำที่สุด เพราะภาพที่ได้จะมีความลื่นตา และต่อเนื่องโดยเฉพาะในจอรุ่นใหญ่ๆ ที่นอกจากสเป็กซ์แล้วการทำลองชมด้วยตา หรือนำแผ่นภาพยนตร์ที่คุณชอบไปลองที่ร้านเลยจะดีกว่าแผ่นตัวอย่างที่ทางร้าน เปิด (ส่วนมาจะเป็นแผ่นที่สร้างมาเพื่อดึงคุณสมบัติของจอรุ่นนั้นๆยี่ห้อนั้นๆ อยู่แล้ว)





สนับสนุน HD Ready
LCD TV
     ความละเอียดของจอ และการรองรับเทคโนโลยี HD (High Definition) เป็นเรื่องสำคัญ เพราะ การแสดงภาพในอนาคตอันใกล้นี้มีทิศทางก้าวเข้าสู่โลกของ HD กันมากขึ้น เพราะเป็นหน้าจอที่ให้ความละเอียดสูง ความคมชัดในรายละเอียดมาก หลายๆ ท่านบ่นว่าอาจยังไม่ได้ใช้แต่บอกได้เลยว่าไม่จริงเพราะอย่างน้อยขณะนี้ก็มี กล้องถ่ายวีดิโอที่บันทึกภาพเป็น HD  มาจำหน่ายในบ้านเราแล้ว และเพียงแต่รอว่าระหว่างเครื่องเล่น HD DVD หรือ Blu Rayใครจะเป็นตัวแทนเครื่องเล่นในอนาคตเท่านั้น ซึ่งก็เริ่มมีภาพยนตร์ทั้งสองค่ายออกมาจำหน่าย คุณก็จะได้เห็นความคมชัดระดับ HD แบบเต็มๆ ตากันซะที

ช่องต่อสัญญาณภาพ และเสียง

LCD TV
     ช่องต่อสัญญาณภาพ และเสียงนั้นมีความสำคัญอย่างมาก เพราะนอกจากจะต้องมีให้ครบทุกอย่างทั้ง Component, RCA,AV,Audio,DVI,S-Video,RGB (ต่อกับคอมพิวเตอร์) ควรมี HDMI พอร์ตความเร็วสูงรุ่นใหม่อีกด้วย ทำให้ได้ภาพที่สวยงามคมชัด และรายละเอียดสูงและยิ่งมีครบถ้วน หรือยิ่งให้มากขึ้นก็ยิ่งทำให้คุณได้รับประสิทธิภาพ และความสะดวกมากขึ้น
LCD TV

ระบบเสียงในตัวเครื่อง
     ปัจจุบันการจำหน่าย LCD TV มีการแข่งขันกันมากขึ้น ทั้งจากผู้ผลิตสินค้า AV เอง หรือผู้ผลิตจอคอมพิวเตอร์ต่างก็สามารถผลิต LCD TV กันได้ จึงเริ่มมีการอัดระบบเสียงที่ดีแข่งขันกันมากขึ้น ยิ่งหากคุณไม่คิดจะซื้อลำโพง หรือระบบเสียง Home Theater เพิ่มเติมเข้าไปแล้วก็ควรจะพิจารณาถึงจุดนี้ด้วยอาทิ บางยี่ห้อจะมีระบบเสียงทั้ง DTS,Dolby Digital,SRS,BBE และอีกมากหลายมาตรฐาน ซึ่งจะให้ความแตกต่างของรายละเอียดเสียงได้มากเลยทีเดียว
LCD TV

LCD TV
 



รีโมต เรื่องง่ายที่อาจยาก
    รีโมตควบคุมนั้นก็เป็นอีกหนึ่งในความสะดวกทำให้ง่ายต่อการใช้งาน แต่บางรุ่นก็อาจกลายเป็นความลำบากและยุ่งยากในการใช้งานไปซะได้ เนื่องจาก LCD TV นั้นมีลูกเล่นมาก รองรับการต่อสัญญาณภาพก็มากทำให้หลายยี่ห้อจะเน้นการออกแบบรีโมตรให้ควบคุม ทุกอย่างทั้งฟังก์ชั่นต่างๆ ของโทรทัศน์รวมลามไปถึงพวกเครื่องเล่น DVD ที่นำมาต่อด้วย จึงมีปุ่มมากมายวุ่นวายไปหมด ดังนั้นก็ควรดูว่ารีโมตนั้นควบคุมยากไหมหรือยังไงก็ให้
คนขายช่วยสอนก่อนซื้อมาใช้ก็ดีนะครับ










       LCD TVเทคโนโลยีแต่ละยี่ห้อ
       แต่ละยี่ห้อก็จะมีเทคโนโลยีที่แตกต่างกันไป โดยเฉพาะการออกแบบวงจร ชุดถอดรหัสจึงทำให้สีสันความชัดและมิติของภาพที่ได้ในแต่ละยี่ห้อมีความแตก ต่างกัน คุณผู้อ่านจึงควรพิจารณาก่อนว่าเทคโนโลยีเฉพาะในการแสดงภาพของแต่ละยี่ห้อ รุ่นไปนตรงใจคุณมากที่สุด และยังไม่รวมถึงลูกเล่นพิเศษอื่นๆที่น่าสนใจ
     เท่าที่คุยกันมาผู้อ่านคงพอทราบรายละเอียด และเทคโนโลยีของ LCD TV  แล้วนะครับ ไว้คราวหน้าเมื่อคุณเดินห้างสรรพสินค้า และอยากได้โทรทัศน์เครื่องใหม่ติดบ้านอีกซักเครื่อง คงพอมีแนวทางในการเลือกซื้อและเข้าใจในจุดเด่นของแต่ละแบบจะได้ไม่ต้องงงกับ คนขายที่ต่างเชียร์จนสับสนไปหมด

  ที่มา :นิตยสาร Extreme Issue