29 ม.ค. 2554

ซื้อ LCD-TV อย่างไรให้ถูกใจคุณ


  ปัจจุบัน LCD-TV กำลังได้รับความนิยมเพิ่มชึ้นเป็นอย่างมาก ประกอบกับการที่มีราคาที่ถูกลง ทำให้เกิดมีคำถามเกี่ยวกับวิธีเลือกซื้อ LCD-TV ขึ้นมามากมาย  ดังนั้นเพื่อให้คุ้มค่ากับเงินที่จะจ่ายไป เรามาลองศึกษากันดูว่าจะมีวิธีเลือกซื้อ LCD-TV อย่างไรให้ถูกใจคุณ
  เพื่อที่จะได้ LCD-TV ตรงตามวัตถุประสงค์ในการใช้งานของคุณ ขอให้พิจารณาสิ่งต่างๆต่อไปนี้ เพื่อประกอบการตัดสินใจ
 
  ขนาดหน้าจอ(screen size) 
  ขนาดหน้าจอ มีหน่วยเป็นนิ้ว เป็นการวัดเส้นทแยงมุมของจอ การเลือกว่าจะใช้จอขนาดเท่าไรให้ดูที่ระยะการรับชมเป็นหลัก ระยะการรับชมที่เหมาะสมสำหรับจอ 22 นิ้ว อยู่ที่ประมาณ 1.2 เมตร เป็นอย่างน้อย ถ้าจอใหญ่กว่านี้ 2 เท่า ระยะการรับชมที่เหมาะสมจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าด้วย และจะเป็นสัดส่วนเช่นเดียวกันนี้กับทุกขนาดจอ ไม่ว่าคุณจะมีห้องใหญ่ซักแค่ไหนแต่ถ้าคุณชอบที่จะนั่งดู TV อยู่ใกล้ๆจอก็ไม่ควรเลือกใช้จอที่ใหญ่จนเกินไป เพราะมันอาจจะส่งผลเสียต่อสายตาของคุณในระยะยาวได้

  ความละเอียดของหน้าจอ (resolution)

  คือจำนวนจุดภาพ(pixel) บนจอ ตัวเลขที่ระบุไว้ในสเป็ค เช่น 1080p(full HD),1080i หรือ 720p นั้น ไม่ได้หมายความถึงความละเีอียดของหน้าจอโดยตรง แต่หมายถึงเส้นสแกน(line)ของจอ เช่น ถ้าเป็นจอ full HD (1080p) ก็จะมีความละเอียดของหน้าจอ เท่ากับ 1080(เส้น ในแนวตั้ง)*1920(จุด ในแนวนอน) หรือประมาณ 2ล้านจุด ซึ่งถ้าเป็น 720p ก็จะมีความละเอียดของหน้าจอเท่ากับ 720*1280 หรือประมาณเกือบๆ 1ล้านจุด
 สิ่งที่คำนึงถึงอีกอย่างก็คือ ที่ความละเอียดเท่ากัน จอที่มีขนาดใหญ่กว่า ก็จะมีจุดภาพ(pixel)ใหญ่ขึ้นตามไปด้วย ทำให้ภาพดูหยาบเมื่อดูในระยะห่างเท่ากัน แต่ก็ไม่เป็นปัญหามากนัก เพราะเมื่อใช้จอใหญ่ขึ้นระยะการรับชมก็มักจะเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน
ส่วนการที่จะเลือกว่าควรจะซื้อ LCD-TV ที่มีความละเอียดหน้าจอเท่าไรนั้น ก็ต้องดูว่าคุณใช้เครื่องเล่นประเภทไหน ถ้า่เป็น Blu-ray ก็ใช้ full HD (1080p)ได้เลย แต่ถ้าเป็น DVD ก็ใช้แค่ 720p หรือ HD ready ก็พอ



  response time

  ค่านี้ยิ่งน้อยยิ่งดี สำหรับ LCD-TV แล้วมันหมายถึง ช่วงเวลาที่แต่ละ จุดภาพ(pixel) ใช้ในการ"ลบ"ภาพที่แสดงอยู่เดิมออกก่อนที่จะแสดงภาพใหม่ลงไป
  หลักการแสดงภาพของ LCD-TV โดยเฉพาะที่เป็นแบบ progressive* นั้น ก็เหมือนกับการเขียนหนังสือ คือ เริ่มแสดงจุดแรกที่มุมซ้ายบน แล้วจึงสแกนทีละจุดจากซ้ายไปขวาจนครบเส้น แล้วทำแบบนี้ต่อทีละเส้น จากบนลงล่างจนครบเป็นหนึ่งภาพ ซึ่งถ้าเป็นระบบ 100Hz ก็จะสแกน 100 ภาพใน 1 วินาที 
  การที่ LCD-TV มี response time ช้าหรือมีค่ามาก จะทำให้เกิดอาการ ภาพเก่ากับภาพใหม่ทับซ้อนกัน ซึ่งถ้าหากเป็นภาพนิ่งหรือมีการเคลื่อนไหวช้า ก็จะไม่เห็นถึงความผิดปกติ แต่ถ้าหากเป็นการเคลื่อนไหวที่เร็วๆแล้ว จะทำให้เห็นเงาของภาพเดิมซ้อนขึ้นมา แบบที่เรียกว่า ghost
  ในการเลือกซื้อ ก็ขอให้เลือกตัวที่มีค่านี้ต่ำๆ อย่างมากไม่ควรเกิน 5 ms.


  contrast ratio


                                      contrast สูง(มาก)                        contrast ต่ำ(น้อย)

    มักจะบอกเอาไว้ลอยๆโดยไม่มีหน่วยวัด เช่น 5,000:1(ห้าพัน ต่อ หนึ่ง) หรือ 10,000:1 ซึ่งหมายถึง "อัตราส่วนของ ความแตกต่างของส่วน หรือจุด ที่สว่างสุดกับมืดสุด" ของภาพบนจอ กล่าวคือ จุดที่สว่างที่สุดมีความสว่างมากกว่าจุดที่มืดสุด 5,000 เท่า หรือ 10,000 เท่า ซึ่งถ้าหากมีค่านื้มากก็จะทำให้ภาพที่ได้ ดูลึก มีมิติสมจริง 
  นอกจากนี้ ยังมีสเป็คอีกตัว ที่เรียกว่า dynamic contrast ratio ซึ่งถึงแม้จะมีความหมายที่คล้ายกัน แต่มีความสามารถไม่เท่ากัน
 
 dynamic contrast ratio 

  เป็นลูกเล่นอย่างนึงของผู้ผลิด LCD-TV เพื่อให้ได้มาซึ่ง ค่า contrast ratio ที่สูงมาก ด้วยวิธีการปรับความสว่างที่ back light กล่าวคือ ถ้าเป็นภาพมืดๆ เช่น ฉากกลางคืนหรือในอุโมงค์ก็ทำการลดแสงแบ็คไลท์ลง แต่ถ้าเป็นภาพสว่างๆ อย่างตอนกลางวันก็เพิ่มแบ็คไลท์ขึ้น ถ้าหากแบ็คไลท์สามารถเพิ่มลดแสงได้ด้วยสัดส่วน 10:1 และจอมี contrast ratio=1,000:1 แล้วละก็ จะได้ค่า dynamic contrast ratio สูงถึง 10*1000= 10,000:1 เลยทีเดียว จะเห็นได้ว่าถีงแม้จะมีค่าคอนทราสท์ สูงขนาดนี้ก็ตาม แต่ความสามารถที่แท้จริงมีแค่ 1,000:1 เท่านั้น ทำให้ภาพที่ได้สู้จอที่มีค่า contrast ratio เพืยงแค่1,500:1 หรือ 2,000:1 ไม่ได้ ในแง่ของมิติความลึกของภาพ 
  เวลาซื้อ LCD-TV ก็ดูให้ดีก่อนว่าเป็น contrast แบบไหน
 
  มุมมองในการรับชม


  ถ้าปกติการรับชมของคุณ เป็นมุมมองทางด้านหน้าตรงๆ ข้อนี้ก็ไม่สำคัญนัก
  ข้อเสียอย่างนึงของ LCD-TV ก็คือ มีมุมมองที่ค่อนข้างแคบเมื่อเทียบกับ plasma-TV เพราะข้อจำกัดทางโครงสร้างนั่นเอง แต่ในปัจจุบัญก็ได้รับการปรับปรุงจนมีมุมมองที่กว้างมากขึ้นจนใกล้เคียงกับ plasma-TV มากแล้ว เช่น samsung UA-40C6200 มีมุมมองการรับชมมากถึง 178 องศาเลยทีเดียว
  ในการเลือกซื้อ LCD-TV ก็ขอให้คุณลองสังเกตุมุมมองในหลายๆมุม ทั้งมุมก้ม มุมเงย และมุมมองด้านข้าง ประกอบการตัดสินใจด้วย

  ชนิดและจำนวนของ ช่องต่อสัญญาณเข้า 

 
  ถ้าหากคุณชื้อ LCD-TV มาสักเครื่องนึงแล้วพบว่า ช่องต่อสัญญาณเข้า เกิดไม่พอใช้ขึ้นมา มันจะทำให้คุณต้องพบกับความยุ่งยากไม่น้อยเลยทีเดียว และกับการถอดเปลี่ยนแจ๊คสัญญาณเข้าออกบ่อยๆ ก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก เพราะนอกจากจะไม่สะดวกแล้วยังอาจทำให้ขั้วต่อสัญญาณหลุดหลวมเสียหายได้ ดังนั้นจึงควรดูให้มีเพียงพอต่อการใช้งาน และเผื่อการขยายระบบในอนาคตไว้สักหน่อย เช่น

            HDMI อย่างน้อย 2 ช่อง
             Component 2 ชุด
              A/V in 2-3 ชุด
             RGB/PC ใช้ต่อแสดงผลจาก คอมพิวเตอร์ ซึ่งหากมีฟังก์ชั่น PIP(picture in picture) หรือ ภาพซ้อนถาพ รวมอยู่ด้วย ก็จะดี
 
             USB ใช้สำหรับแสดงภาพจากกล้อง VDO,กล้องถ่ายภาพดิจิตอล หรือจะใช้เปิดไฟล์ภาพหรือหนังจาก USB flash drive ก็ได้
  และในปัจจุบัญ LCD-TV บางรุ่น สามารถต่อ internet ได้แล้ว

 dead pixel

  เป็นสิ่งที่ต้องระวังเวลาเลือกซื้อ LCD-TV โดยเฉพาะ จอขนาดเล็กที่มีความละเอียดสูง ซึ่งจะทำให้สังเกตุเห็นได้ยาก (แต่จอขนาดใหญ่กลับมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้มากกว่า)
  dead pixel คือบริเวณหรือจุดภาพ(pixel) ที่ผิดปกติหรือเสียหาย ทำให้การแสดงผลไม่ถูกต้อง หรือไม่แสดงผล(ดับ)ไปเลย ดังนั้นเมิ่อคุณตัดสินใจได้แล้วว่าต้องการ LCD-TV ตัวไหน ก็ขอให้พนักงานช่วยลองเครื่องให้ดูก่อน ถ้าหากพบว่าจอมี dead pixel ก็ให้ขอเปลี่ยนเครื่องใหม่ได้เลย


    อื่นๆ 
  ยังมีสิ่งที่ต้องดูเพิ่มเติม อีก2-3เรื่อง เช่น ถ้าหากคุณยังดูTVอยู่บ้างเป็นบางครั้ง และยังคงใช้แผงสายอากาศแบบเดิมอยู่แล้วละก็ การมีระบบ noise reduction(ระบบลดทอนสัญญาณรบกวน)ที่ดี ก็จะช่วยได้มาก นอกจากนี้ก็ยังมี ระบบเสียง ซึ่งควรจะให้เสียงที่พอเหมาะกับขนาดของหน้าจอ
  ในการเลือกซื้อ LCD-TV คงจะไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าหากคุณรู้และเข้าใจในความต้องการของตัวคุณเอง ซึ่งถ้าหากคุณได้วางแผนในการเลือกซื้อ LCD-TV ไว้ดีพอแล้ว ก็จะช่วยให้คุณไม่ต้องเสียเวลา หรือถึงขั้นเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์ 
  โดยความเป็นจริงแล้วด้วยข้อจำกัดหลายอย่างทำให้ LCD-TV นั้นตองการสื่อที่มีความคมชัดสูงประเภท digital อย่างเช่น Blu-ray มากกว่าสื่ออนาล็อกอย่างพวกฟรีTV เพราะความคมชัดของมันจึงทำให้มองเห็นสัญญาณรบกวนต่างๆได้ชัดเมื่อแสดงผลบนจอ
  ดังนั้นหากคุณคิดจะซื้อ LCD-TV เพื่อดูหนังแผ่นก็นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง แต่ถ้าคุณชอบดูฟรีTV มากกว่าแล้วละก็ LCD-TV ก็ไม่นับว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

  ภาพประกอบจาก
  www.screenmath.com /www.astris.com /www.extremetech.com /techspedia.com
  /www.avmaster.com /panasonic.ca /www.projectorpeople.com /primcm.com
  /www.lcdtvthailand.com

3 ม.ค. 2554

LCD,LED-TV



                                                     

ก่อนอื่นต้องขอทำความเข้าใจก่อนว่า จอ LED ที่ทำตลาดอยู่ในปัจจุบัญนี้ จริงๆ แล้วมันคือจอ LCD นั่นเองครับ ไม่ใช่จอประเภทอื่นๆ อย่าง LED หรือ OLED แต่อย่างใด แต่ก็มีความแตกต่างบางจุดที่ทำให้มีชื่อเรียกที่ไม่เหมือนกัน

ด้วยคุณสมบัติของแผง LCD แล้ว มันไม่มีความสามารถในการเปล่งแสงด้วยตัวของมันเอง  ต้องอาศัย
แหล่งกำเนิดแสงภายนอก เพื่อให้จอสามารถเปล่งแสงออกมาได้ซึ่งผมขอเรียกแหล่งกำเนิดแสงนี้ว่า backlight แล้วกันครับ
Backlight จะถูกติดตั้งในบริเวณต่างๆ ขอจอ LCD ส่วนจะติดตั้งในบริเวณไหนนั้น ขึ้นอยู่กับการออกแบบของผู้ผลิต จอ LCD TV ส่วนใหญ่จะใช้วิธีการยิง Backlight จากด้านหลัง ในขณะที่จอของ notebook บางรุ่นจะใช้วิธียิง backlight จากขอบทั้งสี่ด้านของจอ

การที่ LCD Panel ต้องพึ่งพาอาศัย Backlight นี่เองที่ทำให้มันมีข้อด้อยหลายๆ อย่าง เช่น การไล่โทนสีเทา/ดำ ที่ทำได้ไม่ดีเท่ากับจอที่เม็ดพิกเซลสามารถเปล่งแสงได้ด้วยตัวของมัน เองอย่างเช่นจอ Plasma หรือจอ CRT ในทางเทคนิคแล้วแผง LCD จึงไม่สามารถแสดงสีดำสนิทอย่างแท้จริงได้ หรือแม้กระทั่งการแสดงสีที่อาจทำได้ไม่สดใสเท่าใดนัก

เทคโนโลยี Backlight ของ LCD จึงได้ถูกพัฒนาอยู่ตลอดเวลาเพื่อช่วยแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ จาก backlight ในรุ่นก่อน และช่วยให้ภาพที่แสดงบน LCD Panel ดูสวยงามและเป็นธรรมชาติมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ช่วยลดความร้อน และลดการใช้พลังงานไปในตัวได้อีกด้วย เทคโนโลยี Backlight มีหลายแบบด้วยกัน เช่น Incandescent light bulbs, light-emitting diodes (LEDs), electroluminescent panel (ELP), cold cathode fluorescent lamps (CCFL) และ Hot cathode fluorescent lamps (HCFL) แต่ที่นิยมใช้ในปัจจุบันมีดังนี้ครับ:

CCFL backlight – backlight ประเภทนี้ใช้กันหลากหลายที่สุด และเป็นเทคโนโลยีที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานจนถือว่าอยู่ในระดับที่มี “วุฒิภาวะ” สูงพอสมควร backlight แบบ CCFL จะใช้หลอด fluorescent วางเรียงกันเป็นแนวหลัง LCD Panel หรืออาจวางตามขอบทั้ง 4 ด้านก็ได้ในกรณีที่จอภาพไม่ใหญ่มากนัก CCFL backlight ในปัจจุบันได้ถูกพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นจนสามารถช่วยให้จอ LCD แสดงสีสันสดใส ระดับสีเทาและดำทำได้ค่อนข้างน่าพอใจ

LED backlight – เป็นการใช้ Light-emitting Diodes (LEDs) เป็นแหล่งกำเนิดแสงให้กับ LCD Panel ซึ่งสามารถพบได้ตามอุปกรณ์พกพาขนาดเล็กทั่วไปที่ใช้จอ LCD เช่น โทรศัพท์มือถือ, PDA และเครื่องเล่นมีเดียต่างๆ นอกจากนี้ก็ยังพบได้ตามจอ Notebook อีกด้วย ที่สำคัญคือในปัจจุบันได้มีการนำเอา LED มาเป็น backlight สำหรับ LCD Panel ขนาดใหญ่่มากขึ้น จอ LCD TV ที่โฆษณาว่าเป็น LED TV จากผู้ผลิตบางราย ก็ถือว่าเป็นจอประเภทนี้

ก่อนเข้าสู่รายละเอียดของ LED backlight มาอ่านข้อดีของ LED backlight กันครับ:

1. ช่วยให้ผู้ผลิตสามารถออก LCD Panel ให้บางลงได้
2. ช่วยให้ LCD Panel สามารถแสดงสีสันโดยรวมได้สมจริงยิ่งขึ้น โดยสามารถแสดงเฉดสีเทาและดำได้ดีขึ้น และสามารถแสดงช่วงสีได้กว้างขึ้นในกรณีที่ใช้ LED backlight แบบ RGB
3. หลอด LED มีความสว่างสูง จึงช่วยเพิ่ม brightness และ Contrast ratio ให้กับ LCD Panel
4. หลอด LED ใช้พลังงานน้อยกว่า backlight แบบอื่น จึงทำให้จอ LCD TV ที่ใช้ LED backlight กินไฟน้อยกว่า
5. ลดต้นทุนการผลิต
6. อายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าหลอด CCFL


ด้วย ขนาดของ LED Diode ที่ค่อนข้างเล็ก ทำให้ตำแหน่งการวาง LED backlight สามารถวางไว้ในตำแหน่งด้านข้างทั้งสี่ด้านของ Panel (Edge-lit) หรือวางไว้ด้านหลัง (backlit) ก็ได้ ซึ่งทำให้ผู้ผลิตมีอิสระในการออกแบบจอมากขึ้น และส่งผลให้จอมีขนาดบางลง หรืออาจมีกรอบเล็กลงด้วย

ในกรณีที่วางหลอด LED ไว้ด้านหลังของ Panel ผู้ผลิตสามารถเลือกใช้หลอด LED สีขาวเพียงอย่างเดียว

หรือเลือกใช้หลอด LED แบบสามสี (RGB)

ก็ได้ ซึ่งในกรณีที่ใช้หลอด LED แบบ RGB ก็จะสามารถให้วงจรควบคุมกำหนดการเปล่งแสงของ Backlight ให้เป็นสีอะไรก็ได้ ซึ่งในทางเทคนิคแล้วจะช่วยทลายข้อจำกัดเรื่องการแสดงสีของ LCD Panel ไปได้เลย (เพราะ LED backlight จะช่วยเสริมให้ LCD Panel สามารถแสดงช่วงสีที่กว้างขึ้นได้)
อีกหนึ่งข้อดีของการวางหลอด LED ไว้ด้านหลัง LCD Panel คือการมีอิสระในการสั่งเปิด/ปิด backlight เป็นกลุ่มๆ ได้ (local dimming) ความสามารถในการทำ Local dimming เป็นการสั่งลดความสว่าง หรือสั่งปิด backlight เป็นกลุ่มๆ ให้สัมพันธ์กับภาพที่แสดงบนจอ LCD ในขณะนั้น ซึ่งส่งผลให้ภาพที่แสดงบนจอมีความสวยงาม และดูเป็นมิติมากขึ้น ยิ่งในกรณีที่ผู้ผลิตนำ RGB backlight พร้อมเทคนิค Local dimming มาใช้ด้วยกัน ก็จะทำให้ได้จอ LCD ที่สามารถแสดงสีสันได้สมจริง, สามารถไล่เฉดสีเทาและดำได้อย่างแม่นยำ และแสดงสีดำสนิทได้อย่างแท้จริงอีกด้วย

ด้วยเหตุนี้ จอ LCD ที่ใช้เทคนิคการยิงแสง LED จากด้านข้าง (Edge-lit – เช่นจอ LED TV ของ Samsung) จึงมีราคาถูกกว่าจอ LCD ที่ใช้ RGB LED backlit เนื่องจากการผลิตที่ซับซ้อนน้อยกว่า แต่จอ Edge-lit ก็ไม่สามารถแสดงระดับสีเทาและสีดำได้ดีเท่ากับจอแบบ LED backlit อยู่ดี เนื่องจากไม่สามารถทำ local dimming ได้ อย่างไรก็ตาม ถึงจะยิงแสงจากด้านข้าง ภาพที่ได้ก็ยังดูมีมิติ และมีอัตราคอนทราสท์ที่ดีกว่าจอ LCD ที่ใช้ CCFL backlight อยู่หลายขุม

ข้อเสียของการใช้หลอด LED

1. ต้นทุน R&D ที่ค่อนข้างสูง ทำให้จอที่ใช้ LED backlight รุ่นปัจจุบันมีราคาแพงกว่าจอที่ใช้ CCFL  backlight ถึงแม้ตามทฤษฎีแล้วมันน่าจะมีต้นทุนที่ต่ำกว่าก็ตาม คาดว่าในอนาคต จอ Edge-lit รุ่นหลังๆ น่าจะมีราคาถูกลงตามกลไกของตลาด และผลิตภัณฑ์รุ่นหลังๆ น่าจะมีวุฒิภาวะ (maturity) เพิ่มขึ้นด้วย
2. การใช้ RGB LED backlight อาจก่อให้เกิดปัญหา Uniformity ในภายหลัง เนื่องจากหลอด LED แต่ละหลอดจะทยอยเสื่อมสภาพไปในเวลาไม่เท่ากัน และเมื่อหลอดทยอยกันเสื่อมสภาพ ก็จะส่งผลให้สีของ backlight เพี้ยนไปด้วย ทำให้ LCD Panel สูญเสียความแม่นยำในการแสดงสีไป
3. LCD TV ที่ใช้ RGB Backlight รุ่นแรกๆ ยังกินไฟมากกว่า LCD TV ขนาดเท่ากันที่ใช้หลอด CCFL ด้วยซ้ำ จึงอาจต้องรอผลิตภัณฑ์รุ่นหลังๆ ซึ่งน่าจะแก้ปัญหาตรงนี้ และเพิ่มประสิทธิภาพการแสดงผลภาพที่ดีกว่าผลิตภัณฑ์ generation แรกๆ ส่วนจอ LCD ที่ใช้ Edge-lit LED นั้นประหยัดพลังงานกว่าจอที่ใช้หลอด CCFL แน่นอน เพราะจำนวนหลอด LED ที่ใช้มีน้อยกว่า
4. อายุการใช้งานในชีวิตจริงของหลอด LED ซึ่งยังเป็นเครื่องหมายคำถามอยู่

สรุป แล้ว อนาคตของ LED backlight น่าจะไปได้ไกล และน่าจะเข้ามาแทน backlight แบบ CCFL ได้ทั้งหมดในระยะเวลาอันใกล้ ซึ่งจะสามารถยืดอายุเทคโนโลยีของ LCD Panel ไปได้อีกสักระยะจนกว่าเทคโนโลยีที่ดีกว่าอย่าง OLED จะเข้ามาแทนทั้งหมดครับ

ภาพจาก sony thai
บทความจาก http://skyhi-tvmobile.blogspot.com

2 ม.ค. 2554

LCD-TV ความบันเทิงภายในบ้าน



    เมื่อพูดถึงความบันเทิงภายในบ้าน จอในการแสดงภาพเป็นหัวใจหลักอย่างหนึ่งของส่วนสำคัญในการเติมเต็มความสุขภาย ในบ้านเลยทีเดียว จอโทรทัศน์รุ่นใหม่ๆก้าวเข้าสู่ยุคจอโทรทัศน์ชนิดจอแบนดังจะเห็นได้จากความ นิยมที่เพิ่มมากขึ้น ถ้าคุณลองไปเดินดูตามห้างสรรพสินค้าในส่วนของสินค้า AV ดู จะเห็นว่ามีแต่จอแบนเต็มแผนกไปหมด จอโทรทัศน์ชนิด LCD-TV เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ก้าวเข้ามาในทางเลือกนอกจากจอโทรทัศน์ชนิด Plasma ซึ่งต่างก็มีจุดเด่นและความเหมาะสมในการเลือกใช้ที่แตกต่างกัน แม้ว่าจะมีอะไรหลายๆอย่างที่เหมือนกัน แต่ LCD-TV คืออะไร มีจุดเด่นกว่าจอโทรทัศน์ประเภทอื่นๆตรงไหน และถ้าคุณสนใจจะเลือกซื้อซักเครื่องควรทำอย่างไรนั้น เรามาทำความเข้าใจไปพร้อมๆกันดีไหมครับ

LCD TV
LCD TV
     LCD TV ถ้าพูดถึงเฉพาะจอ LCD หลายๆ ท่านคงคุ้นหูกันบ้างจากจอคอมพิวเตอร์ชนิด LCD Monitor ทีได้รับความนิยมมาทดแทน จอคอมพิวเตอร์ชนิดหลอด (CTR) และใช้ในจอคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ก ดังนั้นจุดเริ่มต้นของ LCD TV จึงมีจุดเริ่มต้นมาจากการพัฒนาหน้าจอในการแสดงผล ซึ่งในระยะแรกเทคโนโลยีการแสดงผลพัฒนาจากหน้าจอดิจิตอลที่เราๆท่านๆรู้จัก กันเรียกว่า Direct Driving ลักษณะการแสดงผลจะแสดงเป็นเส้น (Segment Display) นำมาประกอบกันเป็นอักษร ดังนั้นในยุคแรกจึงเป็นเน้นเฉพาะการแสดงตัวอักษระเท่านั้นอย่างเช่น หน้าจอนาฬิกาดิจิตอล และหน้าจอเครื่องคิดเลขราคารุ่นเก่า หรือรุ่นถูกที่มีจำหน่ายในตอนนี้ อีกประเภทหนึ่งเป็นเทคโนโลยีจอ LCD ที่แสดงผลในลักษณะ Multiplex Driving ในเทคโนโลยีนี้เองมีความละเอียดในการแสดงผลมากขึ้น โดยใช้หลักการแสดงผลจากการนำเอาจุดหลายๆ จุดมาเรียกต่อกัน (Matrix Display) ในระยะแรกที่นำมาใช้งานอักษรจะมีลักษณะความคมชัดกว่าแบบ Direct แต่ในเรื่องของภาพก็ยังมีลักษณะหยาบๆ และเป็นรอยหยักอยู่บ้าง เนื่องจากยังใช้จำนวนจุดที่น้อย และยังมีการพัฒนาจุดให้มีขนาดเล็กไม่ได้ แต่ผู้ผลิต LCD ก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อลดขนาดของจุดเพิ่มความถี่ของจุดในการแสดงผล รวมถึงการพัฒนามุมมองจำนวนสี ตลอดไปจนถึงความเร็วในการแสดงผล
LCD TV

LCD ย่อมาจากอะไร
   LCD (Liquid Crystal Diode) จอประเภท LCD TV หลายๆท่านจะมองว่าลักษณะการทำงานและเทคโนโลยีการทำงานต่างๆ น่าจะคล้าย Plasma TV เนื่องจากจะนำเอาจุดต่างๆ มารวมกันเพื่อสร้างภาพให้เกิดขึ้นซึ่งหากดูผิวเผินจะรู้สึกได้ว่าน่าจะเป็น เช่นนั้น เพราะหลักการทำงานคร่าวๆรูปทรง ขนาดของจอมีลักษณะคล้ายๆกันอยู่มากทีเดียว แต่ถ้าผู้อ่าน
LCD TV
ทราบถึงหลักการทำงาน รวมถึงพี้นฐานการทำงานของ LCD TV จริงๆจัง แล้วก็จะทราบถึงความแตกต่างทันที และบอกได้เลยว่าหากคุณจะหาซื้อจอที่มีคุณสมบัติแบนบาง ขนาดหน้าจอที่ใหญ่ซักเครื่อง และคิดว่าอะไรก็ได้ระหว่าง Plasma TV และ LCD TV คงต้องบอกว่าคุณอาจตัดสินใจผิดพลาดในการเลือกซื้อเลยทีเดียว ก่อนถึงขึ้นนั้นผมคงต้องอธิบายถึงหลักการทำงานของ LCD TV ก่อนดีกว่า เพราะจะทำให้ผู้อ่านเข้าใจถึงหลักการทำงานและพื้นฐานการทำงานของ  LCD TV ซึ่งถ้าเข้าใจในจุดนี้จะทราบถึงความแตกต่างของเทคโนโลยีจอทั้งสองประเภท และคุณอาจไม่ต้องมาเสียใจภายหลังเนื่องจากการซื้อจอไม่ตรงกับความต้องการ จริงๆ แม้ว่าไม่มากแต่รับรองว่าไม่มีความสุขในการใช้แน่ๆ
LCD TV
หลักการทำงาน LCD TV
     ในการอธิบายหลักการทำงานเบื้องต้นของ LCD TV ผมยังคงไม่ลงลึกถึงทุกอย่างของ LCD TV แต่จะอธิบายให้ทราบว่าจอ LCD TV นั้นมีหลักการแสดงภาพอย่างไรเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจ และนำไปเปรียบเทียบกับจอ Plasma TV  ได้อย่างเข้าใจภายหลัง
LCD TV
     LCD TV นั่นเมื่อดูถึงโครงสร้างภายในจะต่างกับ Plasma TV สิ้นเชิงแม้ว่าจะมีรูปทรงที่เหมือนกัน LCD TV พัฒนาจากหน้าจอทีเน้นทางด้านการแสดงผล เริ่มตั้งแต่หยาบๆ และพัฒนาต่อยอดมาจนถึงปัจจุบันที่มีความคมชัด สีสันสวยงามเหมือนเรารับชมจากจอภาพชนิดหลอด เรามารื้อดูเบื้องหลังกัน
     LCD TV นั้นมีหลักการทำงานเบื้องต้นคือ จอที่มีการสร้างภาพจากการบล็อก หรือปิดกั้นแสงนั่นเองถ้าพูดแค่นี้อาจไม่เข้าใจในจอ LCD ด้านหลังสุดจะเป็นหลอดให้กำเนิดแสดงที่เรียกว่า Backlight ซึ่งจะทำหน้าที่คล้ายหลอดไฟที่จะส่งแสดงออกมายังด้านหน้าของจอภาพ ถัดมาก็จะเป็น TFT Glass สองแผ่นประกบกัน ลัษณะคล้ายกับแซนวิช โดยระหว่างแผ่นนั่นจะมี Liquid Crystal บรรจุอยู่ ซึ่งมีลักษณะเป็นของเหลว โดยมีแผ่น Color Fiter Glass ที่ใช้ในการกรองสีอยู่ติดกับแผ่น TFT Glass อีกด้านหนึ่ง โดยจำนวน TFT Glass จะมีมากเท่าๆ กับจำนวนพิกเซล หรือจุดที่ใช้ในการแสดงผล เมื่อจดภาพมีการส่งสัญญาณให้สร้างภาพนั่นที่แผ่น Color Filter Glass และ TFT Glass จะถูกกระตุ้นด้วยความต่างศักย์ของแรงดันไฟเพื่อทำให้ Liquid Crystal ที่อยู่ภายในเกิดการบิดตัว ดังนั้นแสดงที่มาจาก Backlight ด้านหลังเมื่อผ่าน Liquid Crystal ไปยัง Color Filter Glass ก็จะปล่อยเฉพาะคลื่นแสงที่ถูกอนุญาตให้ผ่านเท่านั้น ดังนั้นเมื่อแต่ละจุด หรือ แต่ละพิกเซลถูกกำหนดให้แสงผ่านตามที่ควบคุมก็จะสามารถแสดงภาพตามที่ต้องการ ได้
   ในจอ LCD ส่วนมากจะทำงานแบบ TFT LCD (Thin Film Transistor Liquid Crystal Display) จะมีลักษณะของแผ่นแก้ว TFT ประกอบลักษณะคล้ายแซนวิช โดยมี Liquid Crystal อยู่ภายในแผ่นแก้ว TFT  ทั้งสอง ในแผ่นแก้ว TFT จะมีจำนวนมากเท่ากับจำนวนพิกเซลที่ใช้ในการแสดงผล โดยมีแผ่นกรองสีที่จะใช้ช่วยในการสร้างสี ให้เกิดขึ้นในแต่ละพิกเซลโดยสีแต่ละจุดยังเกิดจากในแต่ละจุดของ Liquid Crystal จะถูกใส่แรงดันไฟฟ้าระหว่างแผ่นกรองสี และแผ่นแก้ว TFT เพียงเท่านี้คงทำให้ผู้อ่านหลายๆ ท่านพอจะเข้าใจถึงหลักการทำงานของ LCD กันบ้านแล้ว
LCD TV










    
LCD TV
LCD TV ต่างจาก LCD Monitor อย่างไร

    หลายๆท่านคงตั้งคำถามว่า LCD TV กับ LCD Monitor มีความแตกต่างกันอย่างไร ถ้าให้ตอบตามตรงๆ สรุปง่าย คือก็เหมือนกันครับ เพียงแต่ LCD TV นั้นจะเป็นการพัฒนาต่อยอดจาก LCD Monitor ที่ใช้ในคอมพิวเตอร์ ที่ต้องพูดอย่างนี้เพราะจอทั้งสองมีการพัฒนาต่อยอดที่แตกต่างกันไป ในจอ LCD Monitor ที่ใช้ในคอมพิวเตอร์นั้นเน้นการพัฒนาให้มีความเร็วในการแสดงผล หรือที่เราเรียกกันว่า Response Time ให้ต่ำๆ ซึ่งจะทำให้ความเร็วของภาพมีการแสดงเร็วขึ้น ทำให้ภาพนุ่มตา รวมถึงการพัฒนามุมมองให้กว้างขึ้น ในขณะที่จอ LCD TV นั้นจะเน้นการพัฒนาขนาดให้ใหญ่ขึ้น สีสันของภาพสวยงามสมจริง พัฒนาชุดรับสัญญาณภาพจากภายนอกให้ดีขึ้น มุมมองภาพดีขึ้น ชุดรับสัญญาณโทรทัศน์ให้ดีขึ้น ชุดถอดรหัสภาพให้ดีขึ้น รวมถึงการพัฒนาระบบเสียงให้ดีขึ้น ซึ่งจอ LCD Monitor จะไม่เน้นการพัฒนาในด้านนี้ โดยเฉพาะชุดถอดรหัสภาพและระบบเสียง เนื่องจาก LCD Monitor นั้นเน้นการรับสัญญาณภาพมาแสดงเท่านั้น (สังเกตได้ว่าลำโพงที่ให้มากับจอ LCD Monitor นั้นเสียงที่ได้ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่) จึงทำให้จอ LCD ทั้งสองประเภทมีความเหมือนที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ก็คงเพราะการนำไปใช้ด้วยละครับ



LCD TV
LCD TV กับ Plasma TV
     คำถามเด็ดที่ยากจะหาคนตอบได้อย่างโดนใจคือ LCD TV กับ Plasma TV อะไรดีกว่ากัน ถ้าจะซึ่งอะไรดีกว่า คำถามนี้ตอบยากครับแต่ผู้ที่จะทำให้คำตอบนี้ตอบได้ง่ายคือ คุณผู้อ่านที่กำลังจะซื้อ เพราะทั้ง LCD TV และ Plasma TV นั้นต่างก็มีจุดดี และจุดด้วยที่แตกต่างกันความเหมาะสมกับงานที่นำไปใช้ก็จะแตกต่างกันไปด้วย
     มาพูดถึง LCD TV ก่อน LCD TV นั้นมีข้อได้เปรียบ Plasma TV หลายๆ ด้านอาทิ การประหยัดไฟที่ประหยัดกว่า Plasma TV
ความ สามารถนำการนำไปต่อกับคอมพิวเตอร์เพื่อใช้งานแทนหน้าจอแสดงผล (ซึ่งผู้อ่านจะเห็นว่าในจอ LCD TV รุ่นหน้าจอเล็กๆ นั้นจมีผู้ใช้บางท่านนำไปต่อกับคอมพิวเตอร์เพื่อใช้งานทั้งสองอย่างได้พร้อม กัน) จอ LCD TV มีทั้งจอชนิด 4:3 และแบบ 16:9 หรือ Widescreen และขนาดเริ่มต้นนั้นมีตั้งแต่ 20 นิ้วจนไปถึง 42 นิ้ว แต่ใน Plasma TV นั้นไม่มีจอชนิด 4:3 และจอจะมีขนาดเริ่มต้นที่ใหญ่ประมาณ 32 นิ้วขึ้นไป ผู้ใช้สามารถนำไปจอ LCD TV ไปต่อกับคอมพิวเตอร์ ดูข่าวหรือสั่งให้หน้าจอค้างไว้นานได้อย่างต่อเนื่องโดยที่หน้าจอไม่เกิดอา การใหม้เพราะหลักการทำงานที่ใช้หลักการบิดของเหลวภายในที่ทำให้เกิดภาพนั่น เอง ต่างจาก Plasma TV ที่หากมีการเปิดหน้าจอค้างไว้อยู่เป็นประจำนานๆ เข้าอาจมีอาการไหม้คล้ายกับจอแบบหลอดภาพนั่นเอง



LCD TV

     เมื่อพูดชมแต่ LCD TV เราก็มาดูจุดอ่อนของ LCD TV พร้อมกับพูดจุดแข็งของ Plasma TV ไปพร้อมๆกัน Plasma TV นั้น มีจุดเด่นกว่าตรงที่ว่าจอ Plasma TV นั้นสามารถสู้แสงรบกวนจากสิ่งแวดล้อมได้ดีกว่าเพราะ Plasma TV นั้นมีค่า Contrast และBrightness Ratio สูงกว่าของ LCD TV อยู่มากพอสมควร แม้ว่าในระยะหลัง LCD TV จะพยายามพัฒนาอย่างต่อเนื่องก็ตาม ทำให้Plasma TV สามารถตั้งในห้องรับแขกที่แสดงมากๆ หรือนำไปใช้งานกลางแจ้งได้อย่างสบายๆ ด้านอัตราความเร็วในการแสงภาพหรือที่เรียกว่า Response Time ใน LCD TV นั้น Plasma TV จะไม่มีค่านี้ เพราะ Plasma TV จะทำงานรวมเร็วเหมือนกับหลักการทำงานของจอโทรทัศน์ชนิดหลอดภาพ (เนื่องจาก Plasma TV จะยิงประจุเพื่อให้เกิดแสดง แต่ LCD TV ต้องสร้างภาพจากการบิดของลำแสงของ Backlight นั่นเอง) ทำให้ความนุ่มตา ความเร็วในการแสดงภาพยังเหนือกว่า อีกทั้ง Plasma TV ก็สามารถพัฒนาขนาดของจอให้ได้ใหญ่กว่า LCD TV ดังนั้นหากใครเน้นหน้าจอขนาดใหญ่ๆ Plasma TV ก็ยังได้เปรียบอยู่ดี เพราะ Plasma TV พัฒนานำหน้าไปอยู่ก้าวหนึ่งเสมอ
LCD TV
     เมื่อดูถึงจุดเด่นจุดด้อยของทั้งสองแล้วก็ยากจะตัดสินใจใช่ไหมครับ เพราะเมื่อก่อนเราเอาอายุการทำงานทั้งสองมาช่วยตัดสินใจได้ แต่ปัจจุบันจอ
ทั้ง สองประเภทก็มีการพัฒนาอายุการใช้งานที่เท่ากันแล้ว ผมถึงบอกว่าคุณผู้อ่านคือ ผู้ที่ให้คำตอบนั่นเองว่าต้องการซื้อจอไปติดตั้งใช้งานที่ไหน และขนาดของจอภาพที่ต้องการ ถ้าคุณเน้นจอที่ใหญ่ที่สุดในขณะนี้แล้วละก็ Plasma TV นั้นยังได้เปรียบ แต่ถ้าเน้นจอเล็กๆ LCD TV ก็ยังได้เปรียบ ส่วนการนำไปใช้ที่ไหนก็มีผล เพราะถ้าใช้ที่แสงมากๆ อย่างห้องรับแขก หรือห้องแสงรบกวนมากๆ Plasma TV นั้นจะสู้แสงได้ดีกว่า  แต่ถ้าเน้นประหัดไปและนำไปใช้ในห้องทั่วไป อาทิ ห้องนอนแล้วละก็ LCD TV น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่ามาก ทั้งนี้นอกจากประหยัดไฟแล้วความร้อนที่เกิดจากการทำงานของ
LCD TV ยังต่ำกว่าการทำงานของ Plasma TV ผมถึงบอกว่าคำตอบของคำถามว่าจอชนิดไหนดีกว่านั้นอยู่ที่ขนาดที่คุณต้องการ และการนำไปใช้
ที่ไหนมากกว่า


ที่มา :นิตยสาร Extreme Issue

1 ม.ค. 2554

Plasma กับ LCD-TV

หลายๆท่านที่มีความสนใจจะเป็นเจ้าของ แอลซีดีทีวี หรือพลาสมาทีวียังมีความสับสนและไม่แน่ใจในการทำการตัดสินใจเลือกชื้อเพราะ ไม่เข้าใจว่าplasma กับ LCD-TVมีความแตกต่างกันอย่างไร แบบไหนดีกว่ากัน ใช่ไหมครับ?


สิ่งที่ สามารถบอกได้ ไม่ใช่จะบอกว่าแบบไหนดีกว่ากัน แต่สามารถบอกว่า แบบไหนที่มีความเหมาะสมกับการใช้งานมากกว่า ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับเจ้าทีวีทั้งสองชนิดนี้กันก่อนนะครับ











LCD (Liquid Crystal Display) แสดงภาพโดยเริ่มจากแหล่งกำเนิดแสง Backlight ส่องแสงไปที่โมเลกุลผลึกเหลวที่แขวนลอยอยู่ระหว่างขั้วไฟฟ้าโปร่งแสงสองขั้ว จะถูกกระตุ้นด้วยไฟฟ้า ทำให้โมเลกุลของผลึกเหลวในส่วนของจุดภาพ พิกเซล (pixel) นั้นหมุนเป็นมุม 90 องศา เพื่อให้เกิดได้ทั้งจุดสว่าง และจุดมืด (แต่ละพิกเซลไม่สามารถกำเนิดแสงได้เอง) หากเรากล่าวว่าเทคนิคของLCD คือการบิดตัวโมเลกุล แล้วเอาเงาของมันมาใช้งานก็ถือว่าถูกต้องอย่างที่สุด LCD ทีวีจะมีหลายขนาดมากๆ ไล่ตั้งแต่ 15 นิ้ว ไปจนถึง 108 นิ้ว




ข้อดีของ LCD-TV
1. ให้สี่ที่สว่างสดใสเหมาะกับการแสดงสีกราฟฟิก เช่น การ์ตูน , สารคดี และละคร
2. เหมาะกับการนำไปเป็น Monitor ของคอมพิวเตอร์
3. เหมาะสำหรับใช้ในห้องที่สว่างสูง เช่นห้องนั่งเล่นหรือ ห้องรับแขก (หรือท่านที่จะซื้อเพื่อใช้ไปติดตั้งในร้านค้าหรือร้านอาหาร แอลซีดี ทีวีก็จะเหมาะสมกว่า)
4. อาการ Burn-In จะไม่โอกาสไม่เกิดขึ้นเลย
5. กินไฟน้อย


ข้อเสียของ LCD-TV
1. ไม่สามารถแสดงภาพเคลื่อนไหวเร็วๆได้ดี เนื่องจากมี Response Time เร็วที่สุดในขณะนี้เพียงแค่ 2 ms เท่านั้น
2. มีความเพี้ยนของสีเกิดขึ้นโดยเฉพาะสีแดง, โทนสีผิว, สีท้องฟ้า ทะเล
3. ไม่สามารถแสดงสีดำสนิทได้เนื่องจาก Backlight เปิดตลอดเวลาในขณะที่เครื่องทำงาน ทำให้มีแสงขาวเล็ดลอดออกไปในฉากที่เป็นสีดำ จึงทำให้ฉากสีดำเป็น "ดำสว่าง" ไม่ใช่ "ดำมืด" อย่างที่ควรเป็น





PLASMA  จอ ภาพแบบพลาสม่าทีวี แสดงภาพโดยการใช้แสงที่เกิดจากการแตกตัว ionized ของ neon gas (นีออน)เพื่อแสดงผลของภาพออกมาที่แผงหน้าจอ ภายในจอภาพมีองค์ประกอบที่เต็มไปด้วย neon gas (แต่ละพิกเซลกำเนิดแสงได้เอง) Plasma ทีวี จะเน้นทำแต่ ขนาดใหญ่ๆครับ 42 นิ้วขึ้นไป จนถึงขนาด 150 นิ้ว




ข้อดีของ Plasma TV
1. สามารถแสดงภาพเคลื่อนไหวเร็วๆได้ดีกว่า เนื่องจากมี Response Time .001 ms จึงเหมาะกับการใช้รับชมภาพยนตร์ Action และการรับชมกีฬาเป็นอย่างมาก
2. อายุการใช้งาน ยาวนานกว่าที่ 100,000 ชั่วโมง (Half Brightness)
3. สามารถแสดงระดับพื้นสีดำได้ดีกว่า
4. มีคอนทราสต์ที่สูงกว่าทำให้เห็นมิติของภาพได้ดีกว่า
5. มุมมองจอภาพที่กว้างกว่า แอลซีดี
6. ให้สีที่ถูกต้องเป็นธรรมชาติ มากกว่า สีออกโทนอุ่น


ข้อเสียของ Plasma TV
1. อาการ Burn-In มีโอกาสเกิดขึ้นได้ถ้าเปิดภาพนิ่งเป็นเวลานานๆ เช่นโลโก้ช่อง 7 หรือโลโก้ True Vision เป็นต้น (ดังนั้นจึงไม่เหมาะกับการนำไปเป็น Monitor ของคอมพิวเตอร์)
2. ไม่เหมาะสำหรับใช้ในห้องที่สว่างสูง เช่นห้องนั่งเล่น หรือกลางแจ้ง
3. หน้ากระจก ทำให้เกิดการสะท้อนเป็นเงาได้
4. กินไฟมากว่าทั้งจากตัวทีวีเอง และการทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนักขึ้นเพราะ        Plasma TV มีความร้อนออกมาจากตัวเครื่องมากกว่า



 บทความจาก
 www.lcdtvthailand.com